ความเชื่อเกี่ยวกับ เรื่องเหนือธรรมชาติ หรือเรื่องผีสางเทวดา นับเป็นอีกความเชื่อหนึ่งที่วนเวียนในสังคมมนุษย์มาตั้งแต่ครั้งโบราณณการสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบันก็ยังมีปรากฏให้เห็นอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง เรื่องเหนือธรรมชาติ นั้นมีพัฒนาการควบคู่ไปกับสังคมเมืองและท้องถิ่น ซึ่งมนุษย์ พยายามหาคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งเรียนรู้จากตนเองและศึกษาจากสิ่งที่อยู่นอกเหนือความรู้ที่มีอยู่นั้นปรากฏว่าเรื่องของผีนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้จริงและไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ให้เห็นอย่างชัดเจน จึงเป็นเพียงความเชื่อของคนโบราณและเป็นเรื่องที่ต้องค้นหากันต่อไป ซึ่งผีที่พบได้มากในสมัยก่อน หนีไม่พ้นกับ ผีกระสือ อย่างแน่นอน ซึ่งหลายคนคงเคยได้ยิน เป็นผีที่คนสมัยโบราณเชื่อว่าเข้าสิงในตัวผู้หญิงและชอบกินของสกปรกมักจะอยู่คู่กับผีกระหังซึ่งเป็นตัวผู้ชาย
วันนี้เราจึงมีความเชื่อเรื่่องผี กระสือมาฝากกันสำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามกันได้เลย
มีความเชื่อว่า ผีกระสือ นั้นมักชอบเข้าสิงในตัวเพศหญิงส่วนมากจะเป็นหญิงแก่ มีความชอบรับประทานของสดคาวเป็นอย่างมาก ในช่วงตอนกลางคืนนั้นจะออกหากินอีกลักษณ์ที่โดดเด่นของผีชนิดนี้คือจะมีแต่หัวกับตับไตไส้พุงเท่านั้น ส่วนร่างกายจะถอดทิ้งไว้ที่บ้าน
ในเวลากลางคืนผู้คนที่เห็น ผีกระสือ นั้นจะเห็นในรูปของดวงไฟดวงโตที่มีสีแดง และมีสีเขียวเรืองแสงให้เห็น และจะกลับเข้าร่างในเวลาใกล้รุ่งสาง ซึ่งในเวลากลางวันนั้นรูปร่างลักษณะเหมือนกับคนทั่วไป แต่จะมีพฤติกรรมที่แตกต่างจากคนทั่วไปคือ ไม่ชอบสบตาผู้คน ชอบอยู่เงียบๆคน เดียว หรือบางทีก็ไม่ชอบแสงสว่าง เป็นต้น
คนโบราณที่เชื่อใน เรื่องเหนือธรรมชาติ มักเรียก ผีกระสือ ว่า ผีลากไส้ จึงเรียกต่างจากลักษณะที่เห็น ผู้ที่เป็นกระสือนั้นมักจะเป็นผู้ที่ บูชาไสยศาสตร์มนต์ดํา แต่ทำผิดข้อห้ามจนกลายเป็นกระสือในที่สุดนั่นเอง ซึ่งในสมัยโบราณใครที่คลอดลูกใหม่มักจะมีกลิ่นสดคราวของเลือด จึงชวนชักนำให้กระสือนั้นมากินตับไตไส้พุงของหญิงที่คลอดลูกหรือทารกที่คลอดออกมานั่นเอง
ชาวบ้านจึงมีความเชื่อว่าเอาหนามพุทรามาไว้ที่ใต้ถุนเรือน หรือช่องโหว่ต่างๆเพื่อป้องกันไม่ให้กระสือนั้นเข้ามาเพราะเชื่อว่าหนังนี้จะเกี่ยวไส้ของก็ซื้อได้นั่นเอง
นอกจากนี้ยังเชื่อว่ากระสือนั้นไม่ได้ชอบเพียงของสดคาวเท่านั้น แต่ชอบกินของสกปรก เช่นอุจจาระ จึงมีความเชื่อสมัยโบราณว่าใครที่ตากผ้าทิ้งไว้ในตอนกลางคืนกระสือจะเข้าไปเช็ดปาก ทำให้ผ้านั้นมีรอยเปื้อนเป็นดวงๆ ถ้าหากนำผ้านั้นไปต้มกระสือจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนจนทนไม่ไหว
นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่า ตราบใดที่กระสือนั้นจวนจะตาย จะต้องคายน้ำลายของตนถ่ายเข้าป่าของลูกหลานทิ้งไว้เพื่อสืบทายาทกระสือต่อไป ซึ่งจะช่วยให้ตนตายไปแบบไม่ต้องทุกข์ทรมานนั่นเอง ซึ่งในยุคปัจจุบันแหล่งความรู้นั้นพัฒนาก้าวหน้าขึ้นมาก ในทางวิทยาศาสตร์เชื่อว่าดวงไฟที่เห็นลุกโชนนั้น เกิดจากก๊าซมีเทนที่สะสมจากซากเน่าเปื่อยของสารอินทรีย์ในนาข้าวหรือทุ่งนา เป็นต้น อีกทั้งทางกายวิภาคศาสตร์ ก็ได้อธิบายไว้ว่าร่างกายของมนุษย์เมื่อถอดส่วนหัวออกแล้วอวัยวะส่วนอื่นๆก็ไม่สามารถติดออกมาได้ด้วยนั่นเอง ดังนั้น ผีกระสือ จึงเป็น เรื่องเหนือธรรมชาติ ที่สืบเนื่องกันมาตั้งแต่ครั้งอดีตกาลที่ไม่สามารถหาข้อพิสูจน์ได้นั่นเอง
อ่านเพิ่มเติม: การทำเสน่ห์ ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ที่คนสงสัย